เมนู

อรรถกถาปัญจกนิบาต



อรรถกถาราชทัตตเถรคาถาที่ 1



ในปัญจกนิบาต

คาถาของท่านพระราชทัตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า
ภิกฺขุ สีวถิกํ คนฺตฺวา ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่14 แต่ภัทรกัปนี้ เมื่อโลกว่างพระพุทธเจ้า
บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง เข้าไป
ยังไพรวันด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งที่
โคนไม้ในไพรวันนั้น มีจิตเลื่อมใสได้ถวายผลมะกอก อันบริสุทธิ์ดี.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งพ่อค้าเกวียน ในกรุงสาวัตถี
มารดาบิดาได้ตั้งชื่อท่านว่า ราชทัตตะ เพราะอาราธนาท้าวเวสวัณมหาราช
ได้มา. ท่านเจริญวัยแล้วเอาเกวียน 500 เล่มบรรทุกสินค้า ได้ไปยัง
กรุงราชคฤห์โดยการค้าขาย.
ก็สมัยนั้น หญิงแพศยาคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ มีรูปงามน่าดูน่าชม
เพราะประกอบด้วยความเป็นผู้เลอโฉมอย่างยิ่ง จึงได้ทรัพย์วันละ 1,000
ครั้ง บุตรของพ่อค้าเกวียนให้ทรัพย์ 1,000 แก่หญิงแพศยานั้นทุก ๆ
วัน สำเร็จการอยู่ร่วมกัน ไม่นานนัก ทรัพย์ทั้งหมดก็สิ้นไป เป็นคนทุกข์
ยาก เมื่อไม่ได้ร่วมวัตถุแม้สักว่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เที่ยวหมุนเวียนไป
ข้างโน้นข้างนี้ ได้ถึงความสังเวชแล้ว. วันหนึ่งท่านได้แก่ไปยังพระเวฬุวัน
มหาวิหารกับอุบาสกทั้งหลาย.

ก็สมัยนั้น พระศาสดาแวดล้อมไปด้วยบริษัทเป็นอันมาก ประทับ
นั่งแสดงธรรมอยู่. ท่านนั่งอยู่ที่ท้ายบริษัท ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา
ได้ศรัทธาบวชแล้ว สมาทานธุดงค์อยู่ในป่าช้า ในกาลนั้น บุตรของพ่อค้า
เกวียนคนหนึ่ง ได้ให้ทรัพย์พันหนึ่งแล้วอยู่ร่วมกับหญิงแพศยานั้น. และ
หญิงแพศยานั้น เห็นรัตนะมีค่ามากในมือของเขา ให้เกิดความโลภขึ้น
จึงให้ผู้เป็นนักเลงเหล่าอื่นฆ่าให้ตายแล้วถือเอารัตนะนั้น. ลำดับนั้น พวก
มนุษย์รู้เรื่องนั้นของบุตรพ่อค้าเกวียนนั้นแล้ว จึงส่งพวกนั้นมนุษย์ผู้สอดแนม
ไป มนุษย์ผู้สอดแนมเหล่านั้นได้เข้าไปยังเรือนหญิงแพศยานั้น ในเวลา
ราตรี พากันฆ่านางให้ตายโดยไม่ทำผิวให้ถลอก แล้วทิ้งไว้ในป่าช้า.
พระราชทัตตเถระ เที่ยวอยู่ในป่าช้าเพื่อถือเอาอสุภนิมิต เข้าไปเพื่อ
ทำไว้ในใจซึ่งซากศพของหญิงเพศยานั้น โดยเป็นของปฏิกูล กระทำไว้
ในใจโดยแยบคายสิ้นวาระเล็กน้อย กระทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย
โดยภาวะที่ตายแล้วไม่นาน โดยที่สุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกไม่กระทบ
กระทั่งผิวเป็นต้น และเป็นวัตถุวิสภาคไม่ถูกส่วนกัน ให้เกิดกามราคะ
ขึ้นในร่างนั้น มีใจสลดยิ่งนัก อบรมจิตของตน หลีกไป ณ ที่สมควร
ส่วนข้างหนึ่ง โดยครู่เดียว แล้วถือเอาเฉพาะอสุภนิมิตที่ปรากฏตั้งแต่ต้น
เท่านั้น การทำไว้ในใจโดยแยบคาย ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำฌานนั้นให้
เป็นบาท เริ่มตั้งวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตในขณะนั้นนั่นเอง. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
เราได้เห็นพระสยัมภูพุทธเจ้า ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้อะไร
ในป่าใหญ่ จึงได้เอาผลมะกอกมาถวายแด่พระสยัมภู


1. ขุ. อ. 33/ข้อ 112.

ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น
ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การถวายผลไม้ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . ฯลฯ . . .
พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาการปฏิบัติของตน เกิด
ปีติโสมนัส ได้กล่าว 5 คาถา1เหล่านี้ว่า
ภิกษุไปป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขา
ทิ้งไว้ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดกินอยู่ ก็ธรรมดาคนหนึ่ง
ชอบสวยชอบงามบางพวกได้เห็นซากศพ อันเป็นของเลว-
ทราม ย่อมเกลียด แต่ความกำหนัดรักใคร่ย่อมเกิดแก่เรา
เราเป็นเหมือนคนตาบอด เพราะไม่เห็นของไม่สะอาดที่
ไหลออกจากทวารทั้ง 9 ในซากศพนั้น ภายในเวลาหุงข้าว
หม้อหนึ่งสุก เราหลีกออกจากที่นั้น เรามีสติสัมปชัญญะ
เข้าไปสู่ที่ควรแห่งหนึ่ง ทีนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบาย
อันชอบจึงเกิดขึ้นแก่เรา โทษปรากฏแก่เรา ความเหนื่อย
หน่ายก็ตั้งมั่น ลำดับนั้น จิตของเราก็หลุดพ้นจากกิเลส
ขอท่านจงดูความที่ธรรมเป็นธรรมดีเลิศเถิด เพราะวิชชา
3 เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จ
แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขุ สีวถิกํ คนฺตฺวา ความว่า ชื่อว่า

1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 335.

ภิกษุ เพราะเห็นภัยในสงสาร เข้าไปใกล้ป่าช้าผีดิบ เพื่อต้องการอสุภ-
กรรมฐาน.
ก็คำว่า ภิกฺขุ นี้ พระเถระกล่าวคำนี้ด้วยตนเองหมายเอาตน.
พึงทราบวิเคราะห์ในบทว่า อิตฺถึ ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า ถี คือมาตุคาม
เพราะเป็นที่ไปคือไหลไปแห่งเลือดคือสุกกะ โดยภาวะเป็นที่สืบต่อแห่งสัตว์.
อนึ่ง เมื่อว่าด้วยภาษาเดิม ภาษาที่ถูกอย่างนี้ ท่านเรียกว่า อิตฺถี ดังนี้ก็มี
อนึ่ง ในบรรดาหญิงมีหญิงหมันเป็นต้นก็มีบัญญัติว่าหญิง เพราะเป็น
เสมือนกับหญิงนั้น และเพราะไม่ล่วงสภาวะความเป็นหญิงไปได้. ก็ด้วย
บทว่า อิตฺถี นี้ พระเถระกล่าวถึงซากศพหญิง.
บทว่า อุชฺฌิตํ แปลว่า อันสละแล้ว คืออันเขาทอดทิ้งแล้ว เพราะ
เป็นสิ่งที่น่าติเตียนนั่นเอง ได้แก่ อันเขาทิ้งแล้วโดยภาวะที่ไม่มีความอาลัย.
บทว่า ขชฺชนฺตึ กิมิหี ผุฏํ ความว่า เป็นของเต็มไปด้วยหมู่หนอน
กัดกินอยู่.
บทว่า ยํ หิ เอเก ชิคุจฺฉนฺติ มตํ ทิสฺวาน ปาปกํ ความว่า ผู้ที่
มีชาติหลุดพ้นพวกหนึ่ง ย่อมเกลียด ทั้งไม่ปรารถนาจะดูซากศพที่ชั่วช้า
ลามก ซึ่งตายไปแล้ว เพราะปราศจากอายุไออุ่นและวิญญาณ.
บทว่า กามราโค ปาตุรหุ ความว่า กามราคะ ได้ปรากฏคือได้เกิด
แก่เราแล้ว เพราะไม่มีการใส่ใจโดยแยบคายเป็นกำลัง ในซากศพนั้น.
บทว่า อนฺโธว สวตี อหุํ ความว่า ของอันไม่สะอาดไหลออกจาก
ทวารทั้ง 9 ในซากศพนั้น เมื่อมันกำลังไหลอยู่ เราก็เป็นเหมือนคนบอด
เพราะไม่เห็นของอันไม่สะอาด. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

คนกำหนัดย่อมไม่รู้อรรถ คนกำหนัดย่อมไม่รู้เห็น
ธรรม ความมืดบอดย่อมมีในคราวที่คนถูกราคะครอบงำ.

และอาจารย์บางพวกกล่าวว่า "ดูก่อนพราหมณ์ กามฉันท์แล กระทำซึ่ง
ความเป็นดังคนบอด และว่ากระทำให้เป็นดังคนไม่มีจักษุ," แต่ในที่นี้
อาจารย์บางพวกลง อาคม แล้วกล่าวความว่า ความไม่เป็นไปในอำนาจ
เพราะถูกกิเลสกลุ้มรุม หรือเป็นไปในอำนาจแห่งกิเลส. อาจารย์อีกพวก
หนึ่งกล่าวบาลีว่า อนฺโธว อสติ อหุํ เราเป็นผู้ไม่มีสติดังคนบอด แล้ว
กล่าวว่า เราเป็นผู้เว้นจากสติเหมือนคนบอดเพราะกามราคะ แต่คำทั้งสอง
นั้นไม่มีในบาลี.
บทว่า โอรํ โอทนปากมฺหา ความว่า ภายในเวลาที่หม้อข้าวสุก
ครั้งหนึ่ง คือข้าวสุกในทะนานแห่งข้าวสารที่ล้างเปียกชุ่มดีแล้ว ย่อมสุกโดย
เวลาเท่าใด ภายในเวลาแต่กาลเท่านั้นนั่นแล โดยกาลรวดเร็วแม้แต่กาล
นั้น เราเมื่อบรรเทาราคะหลีกออกจากที่นั้น ราคะเกิดขึ้นแล้วแก่เราผู้ยืน
อยู่ในที่ใด เราหลีกไปแล้ว ปราศไปแล้วจากที่นั้น.
เราหลีกไปมีสติมีสัมปชัญญะ เข้าไปตั้งสมณสัญญาไว้ ชื่อว่ามีสติ
โดยมนสิการถึงสติปัฏฐาน และเป็นผู้ชื่อว่ามีสัมปชัญญะ เข้าไปใกล้ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ได้นั่งเข้าสมาธิ เพราะรู้สภาวะแห่งธรรมโดยชอบนั่นเอง
คำว่า ก็เมื่อเรานั่งแล้ว แต่นั้นมนสิการเกิดขึ้นแก่เราแล้ว คือเกิดขึ้น
แล้วโดยแยบคาย ดังนี้เป็นต้นทั้งหมด มีนัยดังกล่าวในหนหลังนั้นแลฉะนี้.
จบอรรถกถาราชทัตตเถรคาถาที่ 1

2. สุภูตเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระสุภูตเถระ


[336] บุรุษผู้ประสงค์จะทำธุรกิจ เมื่อประกอบตนในกิจที่
ไม่ควรประกอบ ถ้าเมื่อขึ้นประพฤติอยู่อย่างนั้น ก็ไม่พึง
ได้สำเร็จผล การประกอบในกิจที่ไม่ควรประกอบนั้น มิใช่
ลักษณะบุญ ถ้าบุคคลใด ไม่ถอนความเป็นอยู่อย่าง
ลำบาก แล้วมาสละธรรมอันเอกเสีย บุคคลนั้นก็พึงเป็น
ดังคนกาลี ถ้าสละทิ้งคุณธรรมแม้ทั้งปวง ผู้นั้นก็พึงเป็น
เหมือนคนตาบอด เพราะไม่เห็นธรรมที่สงบและธรรมไม่
สงบ บุคคลพึงทำอย่างใด พึงพูดอย่างนั้นแล ไม่พึงทำ
อย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำหนด
รู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ ดีแต่พูดนั้นมีมาก ดอกไม้งาม มีสี
แต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่
บุคคลผู้ไม่ทำอยู่ ก็ฉันนั้น ดอกไม้งาม มีสี มีกลิ่นฉันใด
วาจาอันเป็นสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำอยู่ฉะนั้น.

จบสุภูตเถรคาถา

อรรถกถาสุภูตเถรคาถาที่ 2



คาถาของท่านพระสุภูตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อโยเค ดังนี้. เรื่อง
นั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?